ผมมักพูดถึงการทำ Research บ่อย ๆ ซึ่งก็หมายถึงหลักการของ R&D นั่นเองครับ (Reaserch and Development) 

แต่ก่อนจะไปสู่ขั้นตอน R&D ได้ ก็ต้องผ่านการเรียนรู้ในห้องเรียนหรือตำราเป็นขั้นตอนแรกก่อน จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่การทดลองกับของจริงด้วยการทำ Back Test / Forward Test เพื่อเก็บข้อมูลจากตลาดจริง ๆ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการ R&D เป็นกระบวนการสุดท้าย

 

  ถ้าหากนักลงทุนไม่ทำกระบวนการเหล่านี้ (โดยเฉพาะขั้นตอนการ Back Test / Forward Test) ก็จะต้องตกอยู่ในวังวน (Loop) แห่งความเชื่อมั่น คือเริ่มต้นที่เชื่อมั่นเต็มเปี่ยม 100% ในตอนแรก แล้วจบลงที่ 0% ในเวลาต่อมา , แต่หากเราทำการตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในตำรากับตลาดจริง ความเชื่อมั่นจะไม่เหลือ 0 แต่ก็ไม่ใช่ 100 เหมือนกัน , ตำราเล่มหนึ่งอาจมีหลักการที่ใช้ได้จริงแค่ 5-10% เท่านั้น ซึ่งเราจะต้องหาส่วนนี้ให้เจอ แล้วเชื่อมั่นใน 5-10% นั้น สิ่งนี้แหละครับที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุน และยืนระยะได้ยาวนาน

 

ประมาณ 20 ปีก่อนในยุครุ่งเรื่องของ Web board ผมก่อตั้งเว็บบอร์ดชื่อ "คนรักอีเลียตเวฟ" รวบรวมนักลงทุนรุ่นเก่าเก่ง ๆ หลายท่าน ช่วยกันทำ Back Test / Forward Test และ R&D โดยใช้หลักการจากตำรา Elliott Wave ต่างประเทศจำนวนมาก เทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในกราฟราคาที่เป็นปัจจุบัน หลักการไหนใช้ได้ หลักการไหนควรปล่อยให้อยู่แค่ในตำรา เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ตรงกับตำราต้องทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร และไปต่ออย่างไร และสิ่งสำคัญคือเราค้นพบสิ่งที่ไม่มีอยู่ในตำราเยอะมาก จนทำให้การนับคลื่นได้ผลในเรื่องความแม่นยำ ทั้งทิศทางและการคำนวณเป้าหมาย ในระดับที่ใช้ทำกำไรได้จริง

เป้าหมายที่มีร่วมกันคือ "กำไร" ดังนั้นเราจะเน้นไปที่การนำหลักการมาใช้เทรด เพื่อทำกำไรในตลาดจริงโดยไม่ยึดติดกับตำรา หรือหลักการใดหลักการหนึ่งมากไป ไม่ว่าจะเป็นการเทรดตามรหัสคลื่นย่อย (หนึ่งในหลักการที่ควรเผื่อใจไว้เยอะ ๆ) , จุด Confirmation หรือการเช็คจบในแต่ละรูปแบบ, เป้าหมาย Fibonacci ของแต่ละคลื่นในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดจะเก็บข้อมูลแยก Time frame ในแต่ละสินค้า

  

*รูปภาพทั้งหมดผม Capture มาจากคลิปในช่อง YouTube ส่วนตัวเว็บบอร์ดผมปิดไปนานแล้ว เวอร์ชั่นแรกก่อนปี 2010 ในคลิปคือเวอร์ชั่นสุดท้ายเริ่มประมาณปี 2011

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ในภาพคือบางส่วนที่เราคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในตำรา รูปแบบและกฏต่าง ๆ ทำกันมานานจนไม่มีใครอยากกลับมาคุยเรื่องตำราอีกแล้ว

 

 

ภาพบนเป็นภาพเมื่อ 10 กว่าปีก่อนเหมือนกัน เป็นบางส่วนของขั้นตอนการทำ Research ผมไล่เช็ครูปแบบ กฏ สัดส่วน Fibonacci และจุดเข้าทำกำไร กับกราฟจริงไปทีละสินค้า เก็บข้อมูล Back Test / Forward Test / เทรดเงินจริง แยกเป็น Time frame โดยเริ่มจากทำตามตำราแบบเป๊ะ ๆ ก่อน จากนั้นดูผลลัพธ์ว่า Yes/No กี่เปอร์เซ็น ผลลัพธ์ก็มีทั้งที่ใช้ได้และไม่ได้ ซึ่งหลายหลักการในตำราก็ตีเป็นเลข 0 ได้เลย คือใช้ไม่ได้จริง สถิติไม่นิ่งทำซ้ำไม่ได้ แบบนี้ยังไงก็ขาดทุนแน่นอน แต่บางหลักการก็แม่นยำเหลือเชื่อ, และ Step ที่สำคัญที่สุด คือการมองหารูปแบบที่เกิดซ้ำ ๆ กัน ที่ไม่มีในตำราและขัดแย้งกับตำรา จุดนี้แหละครับที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

(ทุก ๆ 3 ปี 5 ปี ผมจะกลับมาทำขั้นตอนนี้ซ้ำ เพื่อคอยเช็คว่าหลักการที่เคยใช้ได้ยังใช้ได้อยู่ไหม มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง)

 

 

ตัวอย่างงาน Reaseach

ฟอร์ม Triangle 

ตำรา Elliott Wave แทบทุกเล่มเขียนเป็นทฤษฎีว่า รูปแบบ Triangle คือการสะสมของ และคลื่น 2 ห้ามเป็น Triangle 

แต่จาก Research ของผม Triangle คือสภาวะตลาดที่ไม่มีคนเล่น (ไม่ใช่สะสมของ) และ Triangle ก็อยู่ในคลื่น 2 ของ Impulsion ได้ครับ ดูตัวอย่างด้านล่างครับ

 

 พิจารณาภาพบนด้วยกฏของ Impulsion ทั้ง 3 ข้อ Essential Construction - Alternation - Extension Rule จะพบว่าถูกต้องตามกฏของ Impulsion ทั้ง 3 ข้อ

 

ภาพบน พอครบ 5 คลื่นก็จบรอบลงมา

 

ภาพบน ถ้าหากเราเชื่อตำราโดยไม่ตรวจสอบ ก็จะตัดความเป็นไปได้ของเทรน 12345 (Impulsion) เพราะกฏห้ามคลื่น 2 เป็น Trinagle ดังนั้นก็จะต้องมองว่าเป็น ABC พอขา C ครบ 5 คลื่นก็มองลงต่อตามแนวโน้มเดิม เริ่มโฟกัสที่ขาลง (Short) ตามภาพบน

 

ภาพบน แต่ราคาก็ไม่จบแค่พักตัวแล้ววิ่งขึ้นต่อ แต่กฏในตำราห้ามคลื่น 2 เป็น Trinagle ฉะนั้นก็ต้องมองเป็นเทรนอื่นที่ไม่ใช่ Impulsion เช่น abcxabc ซึ่งเทรนนี้จะเป็นเทรนที่วิ่งต่อได้อีกไกลมาก เหมือนภาพบนที่ผมวาดลูกศรชี้ขึ้น 

แต่ของจริงราคาจบที่ 5 คลื่น เป็นรูปแบบ 12345 Impulsion โดยที่คลื่น 2 เป็น Triangle ซึ่งเป็นกฏที่ตำราทุกเล่มห้าม ?

 

 

ต่อมาดูตัวอย่างที่ผมพิสูจน์เรื่องที่ตำรานับคลื่นบอกว่า "Triangle คือการเก็บของ"  ว่าไม่เป็นความจริง

 

 

สองภาพด้านบนผมพิสูจน์ให้เห็นว่า Triangle ไม่ใช่การเก็บของ แต่เป็นพฤติกรรมที่นักลงทุนชลอการซื้อขาย ไม่มี Volume ตลาดเลือกที่จะรอดูความชัดเจน ก่อนเหตุการณ์สำคัญ
ในภาพคือคลิปที่ผม Live พาเทรดทองในราย 1 นาที ก่อนที่สหรัฐจะประกาศนโยบายดอกเบี้ย ผมพาทุกคนเทรดในขา E โดยให้เหตุผลว่าคนจะรอข่าว ราคาจะบีบตัวแคบลงเป็น Triangle  จากนั้นค่อยมาระเบิดหลังข่าว คลิกที่ภาพเพื่อดูคลิปที่ผมตัดมาสั้น ๆ 1 นาที

 นี่คือหนึ่งในหลักการที่ถูกเขียนในตำราและมันใช้ไม่ได้แล้วในปัจจุบัน การท่องจำตำรามาเทรด ถือว่าอันตรายมากครับ 

 


 

สังเกตว่าผมจะไม่ค่อยพูดถึงตำรา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตลาดปัจจุบันมันไปไกลเกินตำรามากแล้ว สิ่งที่เราควรทำเพื่อผลลัพธ์ในการลงทุนคือการมี Research กับสภาพตลาดในปัจจุบัน และสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

แต่ก็มีที่ผมเอาบางส่วนของตำรามาอ้างอิงในบทความบ้าง เพราะต้องการจะชี้ว่าหลักการนี้มีปัญหาในการใช้กับกราฟจริงอย่างไร และเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หรือต้องการให้เครดิตที่มาของวิธีการที่ผมใช้แล้วได้ผล  ว่าเอามาจากหลักการของตำราเล่มนี้ผสมกับตำราเล่มนี้  และให้ทุกท่านสังเกตอย่างหนึ่งครับว่า ผมจะต้องนำกราฟจริงมาเทียบกับหลักการในตำราด้วยทุกครั้ง เพื่อบอกให้รู้ว่าตำราแบบนี้นะ ของจริงแบบนี้นะ เวลาใช้ ๆ อย่างไร ระวังจุดไหนบ้าง นี่คือสไตล์ของผมที่ทุกคนจะรู้ดีว่า ผมจะไม่ Copy / Paste แต่หลักการในตำรามาสอนหรืออธิบายโดยไม่อิงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะเป้าหมายของผมคือ นับคลื่นแล้วต้องใช้จริงได้ ต้องตอบคำถามเรื่องทิศทาง+เป้าหมาย ของกราฟจริงได้

 

 

นักเทรด นักลงทุน จะต้องพัฒนาไปเป็นขั้น ๆ แบบนี้

 

  • การอ่านและท่องจำตำรา ถือเป็น " ก้าวที่ 1 " นะครับ ความหมายคือ Elliott Wave ไม่ได้จบแค่อ่านตำราหรือท่องจำหลักการได้
  • และ " ก้าวที่ 2 " คือการทดลองนำสิ่งที่อยู่ในตำรามาใช้กับของจริง ซึ่งจะรวมถึงการทำ Back Test / Forward Test ด้วย ในก้าวนี้เราจะพบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ใช่ทุกหลักการที่อยู่ในตำราจะใช้ได้กับตลาดจริง ๆ
  • และก้าวที่สำคัญก้าวสุดท้าย คือการมี Research กับตลาดของจริง ในก้าวสูงสุดนี้เราจะค้นพบหลาย ๆ สิ่งที่ตำราไม่ได้เขียนเอาไว้ ค้นพบความจริงใหม่ ๆ เกี่ยวกับรูปแบบของตลาด และแน่นอนว่ามันจะทำให้มุมมองของเราเปิดกว้าง ไปสู่ความรู้ใหม่ ๆ อย่างไร้ขีดจำกัด

ทั้ง 3 ก้าวนี้จะนำเราไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือ "กำไร"

"แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจ การพูดตามตำราก็ยังมีความจำเป็นในเบื้องต้นอยู่ดีครับ"

 

ส่งท้าย

ท่านจะใช้ตำราเล่มไหนก็ได้ หรือใช้หลักการจากหลาย ๆ ตำรามาประยุกต์ใช้ร่วมกันก็ได้ ถ้าทำแล้วบรรลุเป้าหมาย นั่นคือความถูกต้อง , เป้าหมายในการนับคลื่นคือ ทิศทาง+เป้าหมายราคา คือนับแล้วต้องรู้ว่ากราฟจะขึ้นหรือลง เมื่อได้ทิศทางแล้วก็ต้องคำนวณเป้าหมายได้ ขึ้นเท่าไรและลงเท่าไร  ถ้าการนับของท่านตอบคำถาม 2 ข้อนี้ได้ ก็ไม่ต้องสนใจว่าวิธีการของท่านจะไม่ตรงกับตำราเล่มใดเล่มหนึ่ง จากหลายสิบหลายร้อยตำรา เพราะการ Forecast หรือวิเคราะห์ตลาดได้แม่นยำ ถือเป็น Level ที่สูงกว่าการท่องจำตำราอย่างเทียบกันไม่ได้

กลับกันหากท่านท่องจำตำราได้อย่างแม่นยำ ปฎิบัติตามหลักการในตำราอย่างเคร่งครัดแล้ว แต่การวิเคราะห์ก็ยังไม่สามารถบอกทิศทางของตลาดได้อย่างที่ควรจะเป็น และทุกครั้งที่ผิดทาง ตำราก็จะมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลไว้รองรับเสมอ ตำราลักษณะนี้ยิ่งใช้ Self Estreem ของท่านก็จะยิ่งต่ำ (ความเชื่อมั่น ความนับถือตัวเอง) รู้สึกเหมือนมือไม่ถึง อ่านเท่าไรก็ไม่เก่ง ไม่เข้าใจจริงสักที,  ณ จุดนี้ท่านต้องกล้าหาญที่จะตั้งคำถามถึงหลักการในตำราเล่มนั้น ๆ แล้วหล่ะ

ผมอยู่ในวงมา 20+ ปี รู้จักคนเก่ง คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก พวกเขามีลักษณะที่คล้ายคลึงกันอย่างหนึ่งคือ แม้จะอ่านตำรามามากเรียนมามาก แต่พวกเขาไม่ยึดติด

 

ผมยังคงนับถือตำราทุกเล่มที่เคยอ่านเป็นครูของผมเสมอนะครับ แต่ก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า ตลาดมีการพัฒนาตัวเองและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง บางหลักการอาจใช้ได้ผลในยุค 40-50 ปีก่อน แต่กลับไม่สามารถ Forecast ตลาดในปัจจุบันได้ บางหลักการแม้จะผ่านมาเป็นร้อยปี แต่ก็ยังคงใช้ได้ เช่นหลักการ Dow Theory ... และแน่นอนครับ หลักการที่ใช้ได้ในวันนี้ ในอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า อาจใช้ไม่ได้ผลอีกเลยก็ได้

"ตำราต้องมีการอัพเดทตามตลาด เพราะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สามารถเก่าได้" - นี่คือข้อเท็จที่ไม่อาจปฏิเสธ

 

 

ประสบการณ์

ขอเล่าขำ ๆ เรื่องประสบการณ์อีกสักนิดครับ เรื่องนี้เกิดนานแล้ว (น่าจะ 20 ปี) ถือว่าเป็นเหตุการณ์ฝังใจชนิดเป็น Turning Point เลยหละ, มีคนหนึ่งพูดกับผมตรง ๆ ต่อหน้าว่า "ก็แค่สอนตามตำรา"!!! เอาจริง ๆ ทีแรกผมก็รู้สึกโกรธอยู่เหมือนกัน แต่ก็กลับเอามาคิดต่อว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น? เพราะการสอนตามตำราเป๊ะ ๆ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรผิด แถมเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วยซ้ำ (ตอนนั้นผมก็สอนตามตำรา Mastering Elliott Wave by Glenn Neelly แบบเป๊ะจริง ๆ) แต่รู้ไหมครับหลังคำว่า "ก็แค่สอนตามตำรา" เขาต่อด้วยคำว่า "แบบนี้ใคร ๆ ก็สอนได้" คำนี้เลยครับที่ทำให้ผมตาสว่าง

คำตอบที่ผมได้ก็คือ คนที่เสียเวลามานั่งฟังเรา เขาต้องการมาเรียนรู้วิธีการและประสบการณ์ของเรา ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในตำรา เพราะตำราใคร ๆ ก็อ่านได้ ซึ่งว่าตามจริงในยุคนั้นคนก็เริ่มมาอ่านตำราต่างประเทศกันเยอะมาก หนังสือ Mastering Elliott Wave กับ Elliott Wave Principle  คนนับคลื่นไม่มีใครไม่รู้จัก 2 เล่มนี้ เขาอ่านกันมานานแล้ว

ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มปล่อยสิ่งที่ผมค้นพบ และประสบการณ์ออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งมันมีเยอะมาก บางเรื่องถ้าผมเผยแพร่ออกมาเชื่อว่าดราม่าแน่นอน ก็ขอเก็บเอาไว้กับตัวก่อน

บรรทัดสุดท้าย อยากบอกว่าผมรู้สึกขอบคุณนักลงทุนอาวุโสท่านนั้นมาตลอด ท่านเป็นเหมือนครูผมคนหนึ่ง ครูที่ชี้ว่าผมผิดอะไรและควรทำอะไร ❤️


 

 

แนะนำติชมมาที่

 

Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

Line ID : i_woottichai

 

ช่อง YouTube : www.youtube.com/@woottichaiinsawang9591

 

มาพูดคุยกันที่แฟนเพจ www.facebook.com/advanceelliottwave