เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่กราฟของจริงไม่ลงตามรหัสคลื่นย่อย 5-3-5 จึงต้องทำการคิดรูปแบบ หรือสร้างเหตุผลเพื่อทำให้กราฟเป็นไปตามทฤษฏีรหัสคลื่นย่อย 5-3-5, เป็นอย่างไรมาดูกันครับ
EP.2 นี้ผมจะไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิดเหมือนกับ EP.1 นับคลื่น 2 ยาวกว่า 1 : หนังสือ Elliott Wave Principle EP1 แต่ให้ผู้อ่านเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อได้ตามวิจารณญาน หรือจะนำไปปรับใช้ก็ถือว่าได้ประโยชน์ครับ
มาดูผลลัพธ์ในการใช้ Expanded Flat กับกราฟจริงจากบทความใน EP.3 ครับ > EP3 หนังสือ Elliott Wave Principle: กับดักคลื่น Expanded Flat
ก่อนเข้าเนื้อหาอยากเรียนทุกท่านอย่างนี้ครับ ทฤษฎีของ Ralp Nelson Elliott มาจากการเก็บข้อมูลตลาดตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา และเขาบอกว่าตลาดมีการอัพเดทข้อมูลของตัวเองอยู่ตลอดเวลา (จดหมายอยู่ในหน้าแรกของเว็บไซต์)
อย่างที่ทราบกันดีว่า Trend นั้นมีมากกว่า 5 คลื่น หนึ่งในนั้นก็คือ Trend ชนิด 7 คลื่น 

แต่ละตำราก็จะให้ Label แตกต่างกันไป บางเล่มใช้เลข 1-7 ไปตรง ๆ (Fischer) บางเล่มใช้ ABCXABC (Mastering Elliott Wave)
ไม่ว่าจะลงแบบไหนก็นับได้ 7 คลื่นเท่ากัน เป็นฟอร์มเดียวกัน แค่ตำราคนละเล่มเท่านั้นเองครับ

ภาพบน 7 คลื่น ลง Label แบบไหนก็ได้ครับ ผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน
แต่ว่าหนังสือ Elliott Wave Principle มีการนับที่แตกต่างออกไปครับ

ทำความรู้จักรูปแบบ Expanded Flat กันก่อนครับ

ภาพบน แสดงฟอร์ม Expanded Flat ในหนังสือ Elliott Wave Principle หน้า 202
สังเกตว่ารูปแบบนี้คือ Strong-B Flat ถึงแม้ว่าขา B จะยาวและมีองศาแรง ๆ เป็นลักษณะ Trend เขาก็ยังนับให้เป็น Correction (ซึ่งขัดกับหลักการทั้งหมดของการวิเคราะห์กราฟราคา)

ภาพบน การนับคลื่นของ Robert Prechter ผู้เขียนหนังสือ Elliott Wave Principle
สังเกตว่า Trend ของภาพนี้มีทั้งหมด 7 คลื่น แต่ว่าเขาจะทำการบีบให้เหลือแค่ 5 คลื่นหรือ Impulsion ด้วยการสร้างรูปแบบ Expanded Flat ขึ้นมาต่อจากคลื่น 5 ตามภาพบน
หากเราพิจารณาโดยไม่ต้องสนใจทฤษฏีคลื่น นักเทคนิคทุกคนจะนับการขึ้นลงได้ 7 จังหวะตามทฤษฏี Dow
แต่ Robert Prechter บอกว่า Trend นี้มีแค่ 5 คลื่น เพราะเขายึดว่า Trend ต้องมี 5 คลื่นเท่านั้น
หากเราเก็บข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ก็จะเห็นว่ากราฟไม่ได้จำกัดอยู่แค่ 5 คลื่นเท่านั้น แต่เราจะได้พบ Trend ที่มีคลื่นต่อกันไปมากกว่า 5 คลื่น หนึ่งในนั้นคือ 7 คลื่น ถ้าเก็บข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้เราก็จะมองเห็นโอกาสในการทำกำไรจนสุดเทรนในคลื่นที่ 7 ครับ เพราะเทรนแบบ 7 คลื่นมีวิธีการคำนวณเป้าหมายที่ทำซ้ำได้ โดยไม่หลงทางไปเล่นสวนเทรนตามหลักการ Impulse ที่จบ 5 แล้วต้องย่อเป็น ABC สวนลงมา ตามภาพด้านล่าง

ภาพบน ขึ้นเป็น 1 2 3 4 5 แล้วลง A B C สังเกตว่าเราจะเห็นภาพนี้อยู่ในหนังสือ Elliott Wave Principle แทบจะทุกบทก็ว่าได้ เห็นจนฝังเข้าไปในหัวเลยครับ พอ 5 แล้วก็ต้องลงเป็น A B C , แต่พอของจริงจบ 5 แล้วไม่ลง ABC กลับวิ่งขึ้นต่อไปได้อีกไกล กลายเป็นคลื่นที่ 6 7 อย่างภาพ Figure 79 เขาก็สร้าง Expanded Flat มาอธิบายย้อนหลัง สรุปหนังสือเล่มนี้ไม่มีทางผิดเลย?
คนอ่านหนังสือเล่มนี้ต้องกล้าทั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผลนะครับ

ภาพบนถ้าหากเกิด Trend 7 คลื่นแล้วเรานับตามหนังสือ Elliott Wave Principle โดยใส่รูปแบบ Expanded Flat เข้าไปตามหลักการ จากนั้นก็ย่อเป็นขา C ตามภาพ แล้วทฤษฏีก็บอกว่าจะต้องวิ่งขึ้นตามลูกศร แต่ดูกราฟจริงภาพบนนี้ครับ กราฟเบรคโลว์เก่าไม่กลับขึ้นไปตามทฤษฏีที่หนังสือเขียน, ถ้าใช้หนังสือเล่มนี้เทรด ยังไงก็ขาดทุนครับเพราะมันเป็นทฤษฏีที่เอามาใช้จริงไม่ได้ นับย้อนหลังได้เท่านั้นซึ่งไม่มีประโยชน์ที่จะไปเสียเวลาเรียนรู้เลย

ภาพบนวาดจากหนังสือ Elliott Wave Principle หน้า 225 Figure A-4
เชื่อว่าทุกท่านต้องตั้งคำถามแบบผมแน่นอนว่า ทำไมไม่เอาคลื่น 3 ไปวางไว้ตรงโลว์ B (สีแดง)
ผมตอบตามเจตนาของหนังสือเล่มนี้ว่า ถ้าหากนำ 3 ไปวางที่โลว์ b (สีแดง) จะทำให้คลื่น 3 มีเกิน 5 คลื่น ซึ่งผิดหลักการที่หนังสือเล่มนี้ยึดถือ เขาจึงนำ Expanded Flat มาแทรก แค่นี้ 3 ก็ไม่เกิน 5 คลื่นแล้วครับ , ขอให้ทุกท่านค่อย ๆ คิดถึงความสมเหตุสมผล และมองไกลไปถึงว่าต้องวิเคราะห์กราฟแบบ Real Time ด้วยครับ
สำหรับผมจุดที่มีนัยยะสำคัญต่อตลาดมากที่สุดคือตำแหน่ง High-Low ผมจะวาง 3 ไว้ที่โลว์สุดเพราะเป็นจุดที่เรียกว่า Important หรือมีนัยสำคัญต่อความรู้สึกของตลาดครับ

ภาพบนผมวาดเป็น Concept ก้างปลาในขาขึ้นเพื่อให้ทำความเข้าใจภาพก่อนหน้าง่าย ๆ , ถ้าหากนำคลื่น 3 ไปวางไว้ที่ยอดสุด (b สีแดง) ก็จะทำให้คลื่นย่อยของ 3 มี 7 คลื่น และนับ abcxabc ซึ่งหนังสือ Elliott Wave Principle จะไม่ยอมรับ จึงต้องสร้างรูปแบบ Expanded Flat ขึ้นมาเพื่อลดคลื่น 3 ให้เหลือแค่ 5 คลื่น ตามหลักการรหัสคลื่นย่อย 5-3-5-3-5 ครับ

ภาพบนวาดจากหนังสือของ Fischer หน้า 128 , ถ้าคลื่น 3 มีเกิน 5 คลื่น เขาก็จะนับอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สร้างรูปแบบพิเศษขึ้นมา เพื่อบิดเบือนกราฟให้ตรงกับหลักการรหัสคลื่นครับ *ถ้า Mastering Elliott Wave จะใช้สัญลักษณ์ a b c x a b c

ภาพบนกราฟจริง คลื่น 3 มีคลื่นย่อย 7 คลื่น ลง Label abcxabc หรือจะ 1234567 ก็ได้ครับ

ภาพบนวาดจากจดหมายของ Ralp Nelson Elliott (เจ้าของทฤษฏี) แสดงตัวอย่างกราฟทองคำ (ปี 1300-1939) ซึ่งคลื่นย่อยของ 3 เกิน 5 คลื่น เขาก็นับไปตามความเป็นจริงของตลาดโดยไม่ตกแต่งกราฟเช่นกัน
*Ralp Nelson ใช้สัญลักษณ์ตัวอักษร a b c ... i

ภาพบนกราฟ USD/JPY ราย M5
จริง ๆ แล้วคลื่น 1 หรือคลื่น 3 ไม่ต้องเป็นยอดสูงสุดก็ได้นะครับ เพราะคลื่น 2 หรือ 4 สามารถมีคลื่น B ที่ Strong หรือทำนิวไฮน์ได้ แต่พฤติกรรมการทำนิวไฮน์ของ Strong B เมื่อเทียบกับ A แล้วจะต้องไม่พุ่งแรงพุ่งไกลแบบพฤติกรรมของ Trend , ให้ดูภาพบนเป็นตัวอย่างครับ Irregular Flat

สังเกตอีกอย่างว่าการนับคลื่นในภาพนี้ของ Robert Prechter ในคลื่น B จะมี 5 คลื่นย่อย ซึ่งขัดกับหลักการรหัสคลื่นย่อยที่เขายึดถือ (B ต้องมี 3 คลื่น) แต่สมมติหากมีใครไปถามเขา เขาก็จะยัดเยียดให้เป็น 3 คลื่นด้วยวิธีการต่าง ๆ อาจบอกว่าเป็น WXY ก็ได้ , แต่ไม่ว่าจะยกเหตุผลอีก 108 มาอธิบายภาพนี้ B ก็มี 5 คลื่น หลักฐานเชิงประจักษ์ต่อหน้าต่อตาแล้ว ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยครับ
ผมจึงเน้นย้ำมาตลอดว่า อย่านำหลักการรหัสคลื่นมาเป็นเงื่อนไขในการนับกราฟจริง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่กราฟจะถูกกำหนดมาล่วงหน้าด้วยรหัส 5-3-5 ทุกครั้ง ถ้ายึดถือหลักการคลื่นย่อยก็ต้องมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เช่นการนับให้คลื่น 2 ยาวกว่าคลื่น 1 อ่านบทความ นับคลื่น 2 ยาวกว่า 1 : หนังสือ Elliott Wave Principle EP1 หรือเคสแบบบทความนี้ครับ
สรุป
อาจสรุปได้ว่า รูปแบบ Expanded Flat ของ Robert Prechter (Elliott Wave Principle) ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อบีบเทรน 7 คลื่นให้เหลือ 5 คลื่น เพราะเขายึดหลักเทรนต้องมี 5 คลื่นเท่านั้น ถ้ามี 7 คลื่นก็ใส่รูปแบบ Expanded Flat เข้าไปเพื่อให้เหลือแค่ 5 คลื่นตามทฤษฎี
อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ผมไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่สำหรับผม ๆ เก็บข้อมูลตามความเป็นจริง และมองตลาดอย่างที่ตลาดเป็น มี 7 คลื่น นับ 7 คลื่นไปตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในอนาคตมากกว่าการบิดเบือนข้อมูล เพราะเทรน 7 คลื่นสามารถวิเคราะห์หาการเกิดและคำนวณเป้าหมายได้แม่นยำโดยไม่ต้องรอให้จบ ซึ่งผมก็พิสูจน์โดยการทำให้ดูแบบ Real time ในเพจ Advabce Elliott Wave อยู่ตลอดครับ
เรื่อง Expanded Flat ยังมีต่ออีก 1 EP ครับ , EP ต่อไปจะนำเสนอผลลัพธ์หากเราใช้หลักการนี้ในกราฟจริง คลิกอ่าน > Expanded Flat กับดักคลื่น : หนังสือ Elliott Wave Principle EP3
เป้าหมายของบทความชุดนี้
เรื่องตำรา Elliott Wave ของฝรั่งผมค้นคว้าและทำ Research เก็บไว้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน แต่ว่าไม่เคยนำมาเผยแพร่
จนกระทั้งผมกลับมาอัพเดทเพจเมื่อปลายปี (หลังจากหายไปนาน) ก็มีเพื่อนสมาชิกคัดลอกสิ่งที่อยู่ในตำรามาคอมเมนต์ เช่น 2 ภาพล่าง
ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปวันที่เพิ่งอ่านตำรา อ่านแล้วก็ว้าวกับหลักการ และเชื่อทุกอย่างที่ตำราเขียนโดยไม่มีการตรวจสอบว่าหลักการเหล่านั้นใช้ได้จริงหรือไม่ บทความชุดนี้จึงขอพาทุกท่านร่วมกันตรวจสอบไปทีละส่วนว่า หลักการที่เขียนในตำราเล่มนี้ใช้ได้จริงมากน้อยแค่ไหนครับ

CEWA คือผู้ที่อ่านหนังสือเล่มน้ำเงินที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ (Elliott Wave Principle) เพื่อสอบเอาใบ Certificate จากผู้เขียนตำรา
ผมทำบทความอธิบายเอาไว้แล้วนะครับ สำหรับการบอกว่าคลื่น 2 ห้ามเป็น Triangle ของหนังสือเล่มน้ำเงิน หนังสือก็เขียนแบบนี้จริง ๆ นะครับ แต่กราฟจริงไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเขียน ถ้าตรวจสอบกันจริง ๆ จะพบว่า Triangle เกิดในคลื่น 2 ในกราฟจริงบ่อยมาก การอ่าน/ฟังแล้วเชื่อทันทีโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบด้าน ถือเป็นเหยื่อในวงการลงทุนนะครับ, ผมทำเป็น Case Study ไว้ในบทความแล้ว Triangle ไม่ใช่การเก็บของและอยู่ใน W.2 ได้
หรือแบบภาพล่าง

คนนับคลื่นที่มีประสบการณ์กับกราฟจริงมักจะเจอคอมเมนต์แบบภาพนี้ครับ คือการคอมเมนต์/พูดตามตำรา โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน อ่านแล้วเชื่อทันทีโดยไม่ตรวจสอบ ไม่ถือว่าเป็นวิสัยที่นักลงทุนเขาทำกันนะครับ
ถ้ารู้ว่าส่วนใดของตำราใช้ได้และใช้ไม่ได้จริง ก็จะทำให้ผู้เริ่มต้นศึกษาประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเอง คือเป้าหมายหลักของบทความชุดนี้ครับ

Elliott wave Principle เป็นหนังสือที่ผมอ่านเมื่อ 20 ปีก่อน เคยทำรีวิวไว้เมื่อปี 2013 ในคลิปผมพูดแค่ว่าผมไม่ใช้หนังสือเล่มนี้ในการเทรด แต่ก็ไม่ได้อธิบายรายละเอียดว่าทำไมถึงไม่ใช้ ในซีรีส์นี้จะมาเล่าให้ฟังเป็นตอน ๆ ครับว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่คนอ่านไม่ควรนำหลักการในหนังสือเล่มนี้ไปใช้จริง
เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาเรียนรู้สิ่งที่ใช้จริงไม่ได้
*ถึงอย่างนั้นก็มีบางจุดที่สามารถนำไปใช้ได้ แต่จะเป็นในส่วนของ Concept ที่เป็นเส้นก้างปลาไม่ใช่การนับกราฟจริง
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงทฤษฎี "ฟางในชะลอม" ของอาจารย์ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ จากหนังสือการคิดเชิงวิเคราะห์

ทฤษฎีชะลอม เปรียบได้กับคน ๆ หนึ่งที่มีสมติฐานหรือมีความเชื่ออย่างสนิทใจ ว่ากองฟางมีรูปร่างเหมือนชะลอม จึงพยายามหาข้อพิสูจน์ แต่หาเท่าไรกองฟางก็ยังคงมีรูปร่างต่าง ๆ ไม่เหมือนชะลอม แต่แทนที่เขาจะทำการพิสูจน์ความเชื่อหรือสมติฐานนั้น เขากลับอัดฟางลงไปในชะลอมจนแน่น แล้วเอากรรไกรตัดเล็มฟางที่เล็ดลอดออกมาจากชะลอมนั้น จนมันเรียบ จากนั้นจึงถอดชะลอมออก แล้วเที่ยวบอกใครต่อใครว่า “เห็นไหม ... กองฟางรูปร่างเหมือนชะลอมแล้ว” เป็นการสร้างความเชื่อให้เป็นความจริง โดยการคัดข้อมูลออกตามใจ เพื่อให้ข้อมูลลงตัวตามเป้าหมาย แล้วพยายามบอกคนอื่นให้เชื่อตาม
"สภาวะที่แท้จริงของตลาดคือความเป็นไปได้ที่หลากหลาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกล็อกด้วยรหัสคลื่นทุกครั้ง วิธีเดียวที่จะทำให้หลักการรหัสคลื่น 5-3-5 เป็นจริงขึ้นมาได้ทุกครั้ง ก็คือต้องทำแบบเดียวกับฟางในชะลอม"

ภาพบน หนังสือการคิดเชิงวิเคราะห์ อ.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ทฤษฏีฟางในชะลอมถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดได้ดีทีเดียวครับ เพราะไม่ว่าจะยุคไหนการตัดแต่งข้อมูลให้คนหลงเชื่อ คาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไม่เคยหายไป มีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ , ทักษะการตรวจสอบข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา จึงเป็นทักษะที่สำคัญในการฝึกลูกหลานของเราครับ

กดสั่งซื้อหนังสือจาก Amazon Mastering Elliott Wave

2 ภาพนี้คือหนังสือของ Fischer
กดสั่งซื้อหนังสือจาก Amazon Fibonacci Applications and Strategies for Traders

สามารถกดสั่งซื้อหนังสือ R.N. Elliott's Masterworks และ Elliott Wave Principle จากเว็บไซต์ของผู้เขียนโดยตรง www.elliottwave.com/books
ติดต่อสอบถามคอร์สเรียน แนะนำติชมมาที่
Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
Line ID : i_woottichai
ช่อง YouTube : www.youtube.com/@woottichaiinsawang9591
มาพูดคุยกันที่แฟนเพจ www.facebook.com/advanceelliottwave
